เชียงดาว “คลิ๊กออฟ” ป้องกันไฟป่าและหมอกควัน เน้นการมีส่วนร่วม และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
นายสราวุฒิ วรพงษ์ นายอำเภอเชียงดาว ได้มีการประชุมคณะทำงานฯในระดับอำเภอ สรุปพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า และเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่มีอาชีพเข้าป่าหาของป่า ต้องลงทะเบียนผ่านผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ และได้มีการลดเชื้อเพลิง จัดทำแนวกันไฟล่วงหน้าในแต่ละพื้นที่
โดยนำนโยบายของจังหวัดเชียงใหม่ ตามที่ นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการสั่งการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า จ.เชียงใหม่ และจัดตั้งศูนย์อำนวยการสั่งการฯทั้งในระดับจังหวัด ระดับอำเภอ ให้ทุกอำเภอในท้องที่ดำเนินการสำรวจและกำหนดพื้นที่เป้าหมายที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า โดยในปีนี้ได้ขอกำลังจาก อปพร.ในการร่วมสนับสนุนในการทำงานทั้งการเฝ้าระวังในพื้นที่ และเรื่องอื่นๆ โดยมีค่าตอบแทนให้ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งหากพบว่ามีการฝ่าฝืนจุดไฟจะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดต่อไป
ล่าสุด นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ ในฐานะประธานคณะทำงานศูนย์หมอกควันและไฟป่า จ.เชียงใหม่ ได้ทำหนังสือสั่งการถึงนายอำเภอทุกอำเภอ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 และ ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่1(เชียงใหม่) และงดการเผาอย่างเด็ดขาดในระหว่างวันที่ 20 – 25 กุมภาพันธ์ 2561
ทางด้าน นายคำรณ อินต๊ะ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านถ้ำ หมู่ที่ 5 ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว รับแจ้งมีการเผาตอซังข้าวโพด ในพื้นที่ และมีการลุกลามอย่างกว้างขวาง ทำให้เกิดมลพิษและเกรงว่าจะลุกลาม จึงประสานรถน้ำจาก อบต. เทศบาลเชียงดาว และเทศบาลแม่นะ เข้าทำการดับไฟ ที่กำลังลุกไหม้ ท่ามกลางกระแสลมที่แรง ยากต่อการดับไฟ ใช้เวลานานกว่า จะควบคุมเพลิงไว้ได้
จากการตรวจสอบเบื้องต้นมีพื้นที่ได้รับความเสีบหายกว่า 10 ไร่ ซึ่งที่ผ่านมา ได้ประชุมทำความเข้าใจและประกาศเสียงตามสายในหมู่บ้านถึงวาระจังหวัดเชียงใหม่ เรื่องการห้ามเผาเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2561 ถึงวันที่ 20 เมษายน 2561 เพื่ออากาศบริสุทธิ์สำหรับทุกคน แต่ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลาห้ามเผา แต่ขณะนี้ปรากฏว่า เริ่มมีการเผาแล้ว ซึ่งสร้างปัญหาทั้งทางด้านมลพิษและการลุกลามของไฟป่า
บ้านถ้ำเชียงดาว ถือเป็นพื้นที่กลางเมืองเชียงดาว ติดดอยหลวงเชียงดาว สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง เมื่อมีการเผาจะสร้างผลกระทบกับชาวบ้านและการท่องเที่ยวอย่างมาก จึงได้ขอความร่วมมือชาวบ้านให้หยุดเผาซึ่งคนในหมู่บ้านให้ความร่วมมือเป็นย่างดี แต่ปัญหาก็คือ ปัจจุบันมีคนนอกพื้นที่มาทำการเกษตร และอื่นๆ โดยไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ จึงต้องเร่งชี้แจงประชาสัมพันธ์ และหากพบว่าใครฝ่าฝืนจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีตามกฏหมายอย่างแน่นอน